Preparation before Departure


การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปต่างประเทศ

แน่นนอนว่าสำหรับใครหลายๆคนที่ยังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศด้วยตนเอง มักจะมีความกังวลในเรื่องของการเตรียมตัวก่อนการเดินทางอยู่ไม่น้อยเนื่องจากความที่เราขาดประสบการณ์การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเป็นเรื่องที่ท้าทายและมักจะมีอุปสรรคต่างๆนาๆเช่น เรื่องของภาษา การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น อาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างจากไทยโดยสิ้นเชิง ดังนั้นบทความนี้จึงเป็นเรื่องของการเตรียมตัวก่อนการเดินทางล้วนๆ

ศึกษาข้อมูลของประเทศนั้นๆ

นี้คือสิ่งแรกที่เราควรทำเนื่องจากข้อมูลหรือความรู้ที่เราได้ศึกษาเกี่ยวกับประเทศนั้นๆจะช่วยเราได้มากในเรื่องของการปรับตัว อย่างน้อยเราได้เห็นภาพคราวๆว่า ประเทศนี้เป็นยังไง มีประวัติศาตร์ความเป็นมา วัฒนธรรม และลักษณะผู้คนเป็นแบบไหน อะไรคือสิ่งที่เราควรและไม่ควรทำ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราปรับตัวง่ายขึ้นและช่วยเราหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจจะไม่เหมาะสมหรือที่คนในประเทศนั้นๆไม่ยอมรับกัน เช่น เรื่องของการทักทาย บางประเทศใช้วิธีสากลคือ Shake Hand แต่บางประเทศจะเอาแก้มชนกัน หรือไม่ก็ทักทายโดยการกอด อันนี้เราต้องเตรียมตัวไปนิดหนึ่งเพราะถ้าเราไม่ทำตามธรรมเนียมของเค้า เค้าอาจจะมองว่าเรารังเกียจหรือไม่ให้เกียติเค้าได้ ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เค้าจะรักและดูแลความสะอาดบ้านช่องดีมาก ดังนั้น ระวังเรื่องของรองเท้า เค้าจะไม่เดินสวมรองเท้าในบ้านซึ่งตรงนี้จะไม่เหมือนคนดัชที่ไม่ค่อยถือเรื่องการใส่รองเท้าเดินในบ้านนอกเหนือจากการปรับตัวแล้วเราจะได้รู้ล่วงหน้าว่าประเทศนี้มีอะไรให้เราค้นหาบ้าง วิธีการเดินทางด้วยรถสาธารณะเป็นยังไง มีสถาณที่สำคัญทางประวัติศ่าตร์ สถาปัตยกรรม อาหารท้องถิ่นที่เราควรลิ้มรส วัฒนธรรมท้องถิ่นอะไรบ้างที่เราควรได้สัมผัส หรือแม้กระทั้งการเข้าสังคมที่โน้น เราจะต้องไปที่ไหนแล้วต้องว่างตัวยังไง หากเราทราบข้อมูลในเรื่องเหล่านนี้ล่วงหน้าการเริ่มชีวิตใหม่ที่โน้นก็เป็นเรื่องที่ง่าย แถบสนุกด้วยเพราะเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะแยะมากมาย ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่างๆของแต่ละประเทศดได้ที่ www.lonelyplanet.com 

เรียนภาษาท้องถิ่นไว้ล่วงหน้า

นี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะประชากรยุโรปส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดียกเว้นแค่บ้างประเทศเช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน หรือประเทศทางฝั่งยุโรป ตะวันออก ในประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวัยรุ่นที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ อย่างไรก็ตามการที่เราไปเป็นออแพร์เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับเด็กซึ่งแน่นอนว่าเค้ายังไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นการที่เราเรียนภาษาที่เด็กเข้าใจไปก่อนถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสมควรทำ เพราะการรู้ภาษาท้องถิ่นไปบ้างจะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของเด็กได้บ้าง เด็กๆจะรู้สึกดีใจที่เราเข้าใจเค้าหรือพูดสิ่งที่เค้าเข้าใจได้บ้างซึ่งจะช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นและมีความกดดันน้อยลง นอกจากนี้การเรียนภาษาท้องถิ่นยังช่วยสร้างความประทับใจให้กับครอบครัวอุปถัมภ์อีกด้วยเพราะมันเป็นสิ่งที่แสดงให้เค้าเห็นว่าเราให้ความสนใจในวัฒนธรรมของเค้าซึ่งนั้นคือเป้าหมายหลักของการเข้าโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การเรียนภาษาที่สามไม่ว่าจะเป็น ดัช ฝรั่งเศส เดนิช นอร์เวย์เจียน หรือ สวีดิส สามารถหาเรียนได้ตามเว็บไซด์ออนไลน์ต่างๆ ดูได้จากเว็บนี้คะ https://ec.europa.eu/epale/en/blog/6-best-free-language-learning-sites ขอแนะนำให้เริ่มเรียนคำศัพท์และประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันก่อน อย่าเพิ่งไปเรียนเรื่องไวยกรณ์หรือการเขียนเพราะยังไม่จำเป็น ให้เน้นเป็นการฟังและการพูดไปก่อนคะ

เช็คเอกสารวีซ่าหรือใบอนุญาตพักอาศัยในประเทศนั้นๆ 

มาถึงเรื่องของเอกสารการเข้าออกประเทศอันนี้สำคัญที่สุดห้ามลืมห้ามหายไม่งั้นงานเข้าแน่ๆในกรณีที่เกิดเหตุร้ายๆขึ้นไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม สองสิ่งที่เราควรจะคว้าไว้ก่อนคือหนังสือเดินทางกับเงิน เท่านี้ปัญหาจากที่ใหญ่จะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที ก่อนการเดินทางเราต้องตรวจความพร้อมของหนังสือเดินทางและใบอนุญาตพร้อมด้วยเอกสารทุกอย่างที่ทางสถาณทูตให้มา เช็คดูข้อมูลส่วนตัวถูกต้องไหม (ความจริงข้อมูลตรงนี้ต้องตรวจสอบตั้งแต่ไปรับวีซ่ากับทางสถาณทูตแล้วเพราะถ้ามีความผิดพลาดทางสถาณทูตจะได้แก้ไขให้เราทันท่วงที) เอกสารเหล่านี้เราต้องก็อปปี้แยกเอาไว้เผื่อเอกสารต้นฉบับหายในช่วงที่เราเดินทาง หรือเกิดการชำรุด และที่สำคัญต้องเก็บไว้ในกระเป๋าที่เราหิ้วขึ้นเครื่อง ไม่ใช่เอาไปโหลดไว้กับกระเป๋าเช็คอิน เพราะอย่าลืมว่าเราต้องใช้ในการเช็คอินขึ้นเครื่องบิน ต้องแสดงเอกสารช่วงที่ผ่านจ้าหน้าที่ ต.ม ที่สนามบินในไทยและในช่วงที่เราผ่านเจ้าหน้าที่ ต.ม ในต่างประเทศด้วย ตอนผ่าน ต.ม ที่โน้นเราต้องยื่น หนังสือเดินทาง บัตรใบอนุญาตพักอาศัยหรือทำงาน และเอกสารแนบที่ได้มาจากสถาณทูตให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยคะ ในบ้างประเทศเจ้าหน้าที่อาจจะไม่ถามคำถามอะไรเลย แต่ในบ้างประเทศอาจจะถามนิดหน่อยเช่น ถามว่ามาทำอะไรที่นี้ จะมาอยู่นานไหม อะไรประมาณนี้

ตรวจความถูกต้องของตั๋วเครื่องบิน 

อันนี้เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งเลยบ้างคนอาจจะไม่ใส่ใจแต่ขอบอกเลยคะว่าถ้าชื่อเราที่แสดงบนตั๋วสะกดไม่ตรงกับเอกสารหนังสือเดินทางอาจเป็นเรื่องได้ บางสายการบินเช็คถึงขั้นประเภทของวีซ่า คือเค้าไม่ได้แค่ดูว่าเรามีวีซ่าเข้าประเทศนั้นไหมแต่ยังเช็คว่าประเภทวีซ่าที่เราได้เป็นประเภทไหน ลงจอดต่อเครื่องในประเทศนั้นได้ไหม บ้างสายการบินถึงขั้นขอเลขบัตรเครดิตที่ใช้ในการซื้อตั๋วเพื่อพิสูจน์ว่าเราคือเจ้าของตั๋วจริงๆ สายการบินที่ใช้ระบบนี้คือ สายการบิน Etihad Airways ดั้งนั้นก่อนจองตั๋วเครื่องบินก็ต้องดูให้ดีๆเตรียมข้อมูลที่ต้องแสดงกับพนักงานสายการบินเวลาเช็คอินให้พร้อมคะ

แลกเงิน

หลายคนถามต้องแลกไปเยอะไหม พี่บอกเลยว่าไม่ต้องแลกเยอะเพราะออแพร์กินอยู่กับโฮท ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมายเลยคะ อยู่ได้สบายๆโดยที่ไม่ต้องเสียค่าอาหาร ดังนั้นพี่แนะนำแลกเผื่อไปแค่ 3,000-4,000 บาท แค่นี้ก็พอใช้แล้วสำหรับเดือนแรกแล้ว หลังจากเดือนแรกเราก็ได้เงินเดือนจากโฮทคะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลย สถาณที่แลกเงินที่ขอแนะนำคือ Super Rich เพราะได้เรทดีที่สุด มีสำนักงานอยู่ที่ประตู้น้ำและที่สนามบินเราก็เลือกตามสะดวกคะ อย่าลืมถือหนังสือเดินทางไปด้วยคะ ไม่งั้นจะแลกไม่ได้คะ ข้อมูลติดต่อตามนี้คะ http://www.superrich1965.com/location.php

วิธีจัดกระเป๋า

แน่นอนถ้าไปเคยจัดกระป๋าเพื่อไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน เราจะกังวลเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะเอาอะไรติดตัวไปบ้างและจะจัดยังไงให้กระเป๋าหนังไม่เกินน้ำหนังที่สายการบินนั้นๆกำหนดขนาดของกระเป๋าไม่ต้องซื้อขนานใหญ่มากเอาขนาดตามจำนวนน้ำหนักที่เราสามารถโหลดลงเครื่องได้เพราะบางคนคิดว่าซื้อใบใหญ่ๆจะได้ใส่ของเยอะๆแต่ลืมไปว่าสายการบินมีการจำกัดน้ำหนังของกระเป๋าเดินทางตามประเภทของตั๋วที่ซื้อและตามระยะทางของเที่ยวบินนั้นๆ ทีนี้สิ่งที่ควรเอาไปหลักคือเสื้อผ้าเพราะซื้อที่โน้นแพงกว่าบ้านเรามากคะ ต่อให้เป็นแค่เสื้อยืดลายเชยๆก็แพงกว่าบ้านเรา เสื้อผ้าแฟชั่นซื้อจากไทยไปเลยเพราะแฟชั่นที่โน้นน่าเบื่อ ไม่ค่อยมีความหลากหลายเรื่องสีสัน จะมีแต่สีทึบๆ ดำ เท่า และแบบก็จะคล้ายๆกันทั้งนั้น ดังนั้นใครที่ชอบแต่งตัวแนะนำซื้อจากไทยไปคะ พวกของใช้ส่วนตัวเช่น สบู่ ยาสระผม ครีมบำรุงผิว เอาไปแค่พอใช้ในช่วงแรกๆคะ ไม่ต้องขนไปเยอะเพราะหนึ่งมันหนักและสองพวกของใช้เหล่านี้ราคาถูกและหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปที่โน้นคะ ราคาพอๆกับบ้านเรา ยาสามัญประจำบ้านที่เราจำเป็นต้องใช้เช่น แก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาลดอาการคลื่นใส้อาเจียน ยาแก้อาการเจ็บคอ หรือแม้กระทั้งยาแก้แพ้ก็ควรพกไปพอประมาณคะ เพราะที่โน้นเราไม่สามารถซื้อยาได้ถ้าไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์คะ ดังนั้นถ้ารู้ว่าตัวเองมีปัญหาด้านสุขภาพด้านไหนซื้อยาเหล่านี้แล้วโหลดลงไปกับกระเป๋าเดินทางได้เลยคะ อย่างที่เรารู้ว่าอากาศที่โน้นมันหนาว เสื้อผ้ากันหนาวเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แนะนำให้ซื้อพวกถุงเท้า ถุงมือ ถุงหน่อง หมวกกันหนาว หรือผ้าพันคอที่เป็น cotton จากไทยไปเพราะถูกกว่าส่วนพวกเสื้อโค้ทกันหนาวและรองเท้าแนะนำให้ไปซื้อเอาที่โน้นคะเพระคุณภาพดีกว่าคะ ส่วนเรื่องอิเล็กโทรนิค ก็เตรียมจากไทยไปเลยคะเพราะถูกว่าแน่นอน พวกปลั๊ก adapter ที่หนีบผม หูฟังซื้อไปเผื่ออันหนึ่งเผื่อมันเสียช่วงที่อยู่โน้น เรื่องอาหารเน้นเป็นของแห้งเช่น พริงแห้ง น้ำพริงต่างๆ สามารถเอาเข้ายุโรปได้แต่ต้องแพ็คให้ดีคะ อีกเรื่องที่อยากแนะนำคืออย่าลืมถ่ายเอกสารหน้าข้อมูลของหนังสือเดินทางพร้อมทำแท็กที่มีข้อมูลที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อในยุโรป (ข้อมูลของครอบครัวอุปถัมป์เรา) แล้วทิ้งไว้ในกระเป๋าเดินทางด้วยคะเผื่อกระเป๋าหาย ถ้าเจ้าหน้าที่ทำการเปิดกระเป๋าเราตรวจ เค้าจะได้ทราบว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของใครและจะต้องส่งต่อไปที่ไหน แนะนำให้เตรียมเสื้อผ้าสำรองชุดหนึ่งพร้อมแปรงสีฟันใส่ลงไปในกระเป๋าที่หิ้วขึ้นเครื่องด้วยเผื่อไว้ในกรณีที่กระเป๋าตกหล่นตอนเปลี่ยนเครื่อง ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องข้อห้ามต่างๆรวมถึงรายชื่อสิ่งของที่ห้ามนำขึ้นเครื่องดูได้จากเว็บไซต์ของสนามบินสุวรรณภูมิคะ http://www.suvarnabhumiairport.com/en/265-security-information

อย่าช็อป Duty Free จนเพลิน

อันนี้เตือนสาวๆที่ชอบช็อปปิ้งเป็นเป็นชีวิตจิตใจ อย่าลืมว่าสนามบินสุวรรณภูมิใหญ่มากบาง Gate เดินเป็นกิโล อันนี้ประสบการณ์ตรงเคยมัวแต่ยื่นเลือกของเพลินจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ Final Call ต้องวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลยที่เดียวเพราะไม่งั้นตกเครื่อง ในกรณีที่เราต้องเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศใดประเทศหนึ่งก่อนที่จะต่อไปยังประเทศปลายทาง กรุณาศึกษาข้อมูลของสนามบินนั้นๆไปด้วยว่าเป็นสนามบินมีขนาดใหญ่หรือเล็กจะได้เตรียมตัววิ่งเปลี่ยนเครื่องได้ถูก บางสนามบินถึงขั้นต้องนั่งรถไฟ Skyline เพื่อเปลี่ยนอาคารโดยสารเลยก็มี เช่นสนามบิน Frankfurt ประเทศเยอรมันนี ดังนั้นเตรียมตัวไปนิดหนึ่งเพราะโอกาสตกเครื่องมีคะ

การใช้ชีวิตอยู่บนเครื่องบิน 

สำหรับใครที่ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกต้องยอมรับว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่ อย่างที่เราเห็นๆตามข่าวเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินตกไม่เคยมีเคสไหนรอดอันนี้เรื่องจริงแต่คุณรู้ไหมว่าการเดินทางโดยเครื่องบินมีเปอร์เซ็นการเกินอุบัติเหตุน้อยกว่าการเดินทางโดยยานพาหนะประเภทอื่นๆ เพราะเครื่องบินบินห่างกันมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเราบินบ่อยขึ้นจะเกิดความเคยชินและความกลัวนั้นก็จะหายไปคะ เราจะรู้สึกเหมือนเรากำลังโดยสารรถยนต์หรือรถประจำทางสาธารณะบนพื้นโลกไม่มีอะไรพิเศษมากมายโอเคเข้าเรื่องการอยู่บนเครื่อง สำหรับใครที่เข้าห้องน้ำบ่อยแนะนำให้เลือกที่นั่งติดทางเดินเพราะจะได้ไม่ต้องค่อยรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นแต่ใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องห้องน้ำและอยากเห็นวิวของพื้นโลกจากท้องฟ้าให้นั่งติดหน้าต่าง ก่อนขึ้นเครื่องแนะนำให้ซื้อหมากฝรั่งหรือถั่วไว้เคียวช่วงที่เครื่องกำลังทะยานขึ้นฟ้าเพราะจะเป็นช่วงที่เราเริ่มหูอื่อเพราะแรงกดอากาศเปลี่ยน อาการหูอื่อจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวบุคคลบ้างคนไม่รู้สึกเลย บ้างคนถึงขั้นจบแก้วหู ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าวการเคี้ยวหมากฝรั่งหรือถั่วช่วยบรรเทาอาการได้ สำหรับใครที่ติดกินขนมทานเล่นควรซื้อติดขึ้นไปด้วยเพราะอาหารทุกอย่างที่ขายบนเครื่องแพงหมดและต้องจ่ายด้วยบัตรเท่านั้น เรื่องน้ำดื่มขอได้ตลอด ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆจะขอได้เรื่อยๆช่วงเสริฟอาหาร ในการเดินทางไปยุโรปเป็นระยะเวลากว่า 11-12 ชั่วโมงเราจะได้รับบริการอาหาร 2 รอบ ในขณะที่อยู่บนเครื่องคุณไม่ควรดื่มเครื่องดื่มพวกชาหรือกาแพเพราะส่งผลกระทบต่อภาวะขาดน้ำในร่างกายเนื่องจากอากาศบนเครื่องแห้ง ดังนั้นเราจึงควรดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ บนเครื่องมีสื่อบันเทิงอย่างเช่น หนังและเพลง สายการบินจะแจกหูฟังให้ผู้โดยสารทุกคนแต่ถ้าคุณมีหูฟังของตนเองก็สามารถใช้ได้เช่นกัน หากใครไม่ชอบดูหนังหรือฟังเพลงก็สามารถหยิบนิตยสารของสายการบินขึ้นมาอ่านได้ เนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการท่องเที่ยว เทคโนโลยี อาหารและสถาปัตยกรรมต่างๆ หรือไม่คุณก็อ่านหนังสือ pocket book ที่ตนชื่นชอบก็ไม่ว่ากัน บางสายการบินแจกหนังสือพิมพ์ให้อ่านฟรีเช่น Thai Airways หรือ EasyJet ของประเทศอังกฤษ หรือถ้าไม่อยากทำอะไรเลยก็แค่นอนเพื่อลดอาการ Jetlag คะ

ต่อเครื่อง

การต่อเครื่องถือเป็นเรื่องท้าทายอีกเรื่องหนึ่งสำหรับน้องๆที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวเพราะไม่รู้ว่าเราจะเผชิญกับอะไรบ้าง เครื่องจากเมืองไทยจะดีเลไหมแล้วเราจะเหลือเวลาการต่อเครื่องนานเท่าไร ดังนั้นถ้าใครซื้อตั๋วแบบต่อเครื่องแนะนำให้ซื้อตั๋วที่ให้เวลาเราในการต่อสัก 2-3 ชั่วโมง เผื่อเครื่องดีเล อันนี้เจอกับตัวเองบ่อย บางครั้งดีเลเป็นชั่วโมงก็มี ปกติเวลาที่เราต่อเครื่อง ช่วงที่เครื่องกำลังจะร่อนลงจอดที่สนามบินประมาณ 30 นาที บนจอที่ติดอยู่หลังเบาะของผู้โดยสารที่นั่งหน้าเราจะขึ้นข้อมูลของเที่ยวบินที่เราจะไปต่อว่าเราต้องไปขึ้นที่ Gateไหน เราก็จำไปแล้วก็วิ่งไปที่ Gate นั้นๆไม่ต้องกังวลเรื่องกระเป๋าที่เช็คอินเพราะทางสายการบินจะทำการข่นย้ายให้เราเลย ในกรณีที่เรามีเวลาเปลี่ยนเครื่องเยอะกระเป๋าของเราก็จะถูกลำเลียงไปยังเครื่องบินที่เราจะไปต่อ แต่ถ้าในกรณีที่เครื่องเราดีเลมาเยอะและไม่ได้รับกระเป๋าที่เช็คอินให้เดินไปหาเจ้าหน้าที่เคลมกระเป๋า (Baggage Claims) เคาเตอร์จะอยู่แถวๆจุดรับกระเป๋า เค้าจะมีเอกสารให้เรากรอกชื่อที่ อยู่ที่ เบอร์ติดต่อ (อันนี้ใช้ที่อยู่โฮทนะคะ) เลขหนังสือเดินทาง ข้อมูลเที่ยวบินตั้งแต่ขาออกจากประเทศไทย และให้ระบุลักษณะของกระเป๋าเดินทางของเราว่าเป็นยังไงเพื่อใช้ในการติดตาม เมื่อกระเป๋าของเราได้ถูกส่งมายังสนามบินปลายทางเจ้าหน้าที่ก็จะนำกระเป๋าของเราส่งไปที่ตามที่อยู่ที่เราได้ให้ไว้คะ

เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง

น้องๆบางคนกังวลกลัวว่าจะหาโฮทไม่เจอที่สนามบินในกรณีที่โฮทมารับ วีธีแก้ไขปัญหาง่ายๆคือพยายามติดต่อกับโฮทอยู่เป็นระยะๆในช่วงที่เราเดินทาง เช่น ในช่วงที่เรากำลังรอขึ้รเครื่องที่ไทย ช่วงที่เรารอต่อเครื่องที่ต่างประเทศถ้ามีเวลา ช่วงที่เรารอกระเป๋าพอเครื่องลงจอดที่ประเทศปลายทางแล้ว วิธีการติดต่อให้อาศัย Wifi ของสนามบินนั้นๆเอาคะ ทุกสนามบินหลักๆในยุโรปปล่อยสัญญาณ Wifi ให้ผู้โดยสารภายในตัวอาคารใช้บริการฟรีคะ หรือแม้กระทั้งบนเครื่องบินอย่าง สายการบิน Norwegain Airlines มีบริการ Wifi บนเครื่องคะซึ่งอันนี้ก็จะทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเรากับโฮทง่ายขึ้นคะ

สรุปการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหากเรามีการเตรียมตัวที่ดีและรอบครอบ อย่างไรก็ตามไม่ว่าการเดินทางของเราจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่ ให้คิดซะว่ามันคือประสบการณ์

By Au Pair Alternative Thailand
www.aupair-alt.com 

Comments

Popular Posts